วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

ประเพณีตานข้าวหย่ากู๊


ประเพณีตานข้าวหย่ากู๊
รายละเอียดงาน  
พุทธศาสนิกชนชาวอำเภอแม่สะเรียงจะนำข้าวสาร ( ข้าวเหนียว ) น้ำอ้อย  มะพร้าว  ถั่วลิสง  น้ำมันงา  งา  น้ำมันพืช  มารวมกัน  แล้วจัดทำข้าวหย่ากู๊   ซึ่งมี     ๒    ชนิด   คือ   ข้าวหย่ากู๊แบบข้าวเหนียวแดง  และข้าวหย่ากู๊แบบพม่า  เมื่อทำเสร็จแล้วจะแบ่งส่วนหนึ่งไว้เพื่อนำไปถวายพระภิกษุ สามเณร
กิจกรรม
นำข้าวที่กวน  ไปตาน ( ให้ทาน )   แก่ประชาชนภายในหมู่บ้าน ในสมัยโบราณการแห่ขบวนข้าวหย่ากู๊   จะใช้เกวียนบรรทุกข้าวหย่ากู๊    มีการประดับตกแต่งขบวนเกวียนอย่างสวยงาม   มีการละเล่นดนตรีพื้นบ้านแห่ไปตามถนนสายต่าง ๆ    แต่ในปัจจุบันนิยมใช้รถยนต์บรรทุก    ๔   ล้อแทนเกวียน
ช่วงเวลาที่จัด
เดือนกุมภาพันธ์
สถานที่จัด
อำเภอแม่สะเรียง   จังหวัดแม่ฮ่องสอน
วัฒนธรรมประเพณีจังหวัดแม่ฮ่องสอน
อำเภอสบเมย

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

ปอยเหลินสิบเอ็ด



         ปอยเหลินสิบเอ็ด  เดือนสิบเอ็ดตรงกับเดือนตุลาคมของทุกปี  ภาษาปุ่งนา (ปุโรหิต) เรียกว่า “ตู่หย่าสี่”  ภาษาพม่าเรียกว่า “สะตางกยอด”  เป็นเดือนที่พุทธบริษัทชาวไตพากันถวายจองเข่งต่างส่างปุ๊ด (จองพรา = ซุ้มรับเสด็จ)  จุดธูปเทียนถวายภัตตาหาร ขนม  นมเนย  ผลไม้ในฤดูกาล มีเรื่องราวกล่าวถึงบ่อเกิดประเพณีไว้ว่าพระโคดมสมณเจ้าได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณมาเป็นเวลา  ๗  พรรษา  ทรงแสดงยมกปาฏิหารย์  ในเมืองสาวัตถีที่อุทยานสวนมะม่วง เสด็จขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ประทับนั่งเหนือปัณทุกัมพลศิลาอาสน์  ทรงเทศนาอภิธรรม  ๗  คัมภีร์  โปรดสันตุฏฐีพุทธมารดา  พร้อมทั้งเหล่าเทพยดาและพระพรหมตลอดระยะเวลาในพรรษา  ๓  เดือน    และเสด็จนิวัติมนุษยโลกในวันเพ็ญเดือน  ๑๑     ณ  เมืองสั่งกะนะโก่ (สังกัสนคร)   ในการเสด็จลงมานั้น  พระอินทร์ได้เนรมิตบันไดเงิน  บันไดทอง  และบันไดแก้ว  พาดตรงประตูสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้านทิศใต้ลงสู่ประตูเมืองสังกัสนครด้านทิศใต้เช่นเดียวกัน  ก่อนจะถึงวันเพ็ญเดือน  ๑๑   พระพุทธองค์ทรงมีกระแสรับสั่งถึงพระมหาโมคคัลลานว่าพระองค์จะเสด็จนิวัติมนุษยโลกในวันเพ็ญเดือน  ๑๑   พระมหาโมคคัลลานได้บอกข่าวการเสด็จนิวัติขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปจนทั่วทุกหนทุกแห่ง     บรรดามนุษย์และสัตว์ที่สามารถมาได้ก็มารับเสด็จที่สังกัสนคร  ที่มาไม่ได้ก็จัดทำจองเข่งต่างส่างปุ๊ด(ซุ้มประสาทรับเสด็จ)    ที่บ้านเรือนของตน      พอถึงเช้าวันเพ็ญเดือน ๑๑ จะจัดอาหารบิณฑบาตและขนมนมเนยไว้ถวายพระพุทธเจ้าที่เสด็จมาประทับยืนอยู่ที่หัวบันไดแก้ว       แล้วเปล่งรัศมี  ๖  ประการ    มาแสดงความชื่นชมบุญบารมีและเดชานุภาพ   แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่สนุกสนานกันทั่วไปทุกถิ่นแคว้น     ขณะที่พระพุทธองค์ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีนั้น รัศมีแสงแห่งฉัพพรรณรังสีกระจายสาดส่องไปถึงจองเข่งต่างส่างปุ๊ด(ซุ้มประสาทรับเสด็จ)  ของทุกบ้านเรือน   บรรดาพุทธบริษัทที่อยู่ในบ้านเรือนรู้สึกชื่นชมโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง  จึงพร้อมกันถวายภัตตาหารและจุดธูปเทียนบูชาเป็นเวลา  ๗  วัน
ด้วยเหตุที่มีบ่อเกิดประเพณีตามแนวพุทธประวัติตั้งแต่สมัยพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ดังกล่าวนี้   พอถึงวันเพ็ญเดือน  ๑๑  ครั้งใด        ชาวไตจึงพากันทำจองเข่งต่างส่างปุ๊ด (ซุ้มประสาท)   หรือจองพรารับเสด็จพระพุทธองค์ทุกบ้านเรือนเป็นประเพณีสืบต่อกันมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ และได้จัดเป็นประเพณี “ปอยเหลินสิบเอ็ด” หรือประเพณีออกพรรษา ซึ่งประเพณีนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก สำหรับชาวจังหวัดแม่ฮ่องสอน
 กิจกรรมในงาน      
จะมีงานตลาดนัดขายของกันทั้งวันทั้งคืน   ประชาชนจะไปจับจ่ายซื้ออาหารและสิ่งของต่าง ๆ สำหรับไปทำบุญ ที่วัดใน วันขึ้น ๑๕  ค่ำ  พอถึงรุ่งเช้าของวันขึ้น ๑๕ ค่ำ จะมีการทำบุญตักบาตรเทโวโรหนะ     จากวัดพระธาตุดอยกองมูซึ่งตั้งอยู่บนดอยกองมู          ลงมาสู่วัดม่วยต่อที่อยู่บริเวณเชิงเขา     ทิวแถวของพระภิกษุสามเณรและประชาชนนับร้อยพัน    ซึ่งเรียงรายสองข้างทางเดินลงจากวัดพระธาตุดอยกองมู เพื่อทำบุญตักบาตรแก่พระภิกษุสามเณร  ท่ามกลางสายหมอกยามเช้านั้น  เป็นภาพที่งดงามบริสุทธิ์ตัดกับสีเขียวขจีของต้นไม้    สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล   ตกตอนกลางคืนตามบ้านเรือนและวัดวาอารามต่าง ๆ  จะมีการจุดประทีปโคมไฟสว่างไสว  และมีการแห่ “จองพรา” คำว่า  พรา  มาจากคำว่า พระ หรือวระ  แปลว่าประเสริฐ  หมายถึงพระพุทธเจ้า ส่วนคำว่า  พารา  หมายถึง  เมือง  เช่นกรุงพาราณสี  เป็นต้น  ฉะนั้น  คำที่ถูกต้อง  คือจองพารา (ข้อมูลจาก อ.ประเวช  คำสวัสดิ์  แปลจากลีกโหลง  สัมภาษณ์โดย  นายธนทัย  คำกลาง  สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน)  หรือ ซุ้มประสาทรับเสด็จพระพุทธเจ้า  ซึ่งตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม  นอกจากนี้ในปอยเหลินสิบเอ็ดยังมีการแสดงการละเล่นพื้นเมืองและมหรสพต่าง ๆ  เป็นการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านของจังหวัดแม่ฮ่องสอนเกือบจะทุกแขนง  และจะมีการประกวดแข่งขันกันและมีรางวัลมอบให้ด้วย

 วันที่จัดงาน

ช่วงเวลาออกพรรษา  หรือเดือน ๑๑
 สถานที่จัดงาน                      
เขตเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน  และ ตามหมู่บ้านใหญ่  ที่เป็นชาวพุทธ
วัฒนธรรมประเพณีจังหวัดแม่ฮ่องสอน
อำเภอปาย

ประเพณีสิบสองมนล่องผ่องไต




 

  ประเพณีสิบสองมนล่องผ่องไต หรือประเพณีลอยกระทงบูชาพระอุปคุตของชาวไทใหญ่ สิบสอง แปลว่า เดือน พ.ย. มน แปลว่า พระจันทร์เต็มดวง ล่องผ่อง แปลว่า ลอยกระทง ไต แปลว่า ชาวไทยใหญ่ รวมกันแล้วพูดเป็นภาษากลางได้ว่า ประเพณีลอยกระทงของชาวไทยใหญ่ เป็นประเพณีที่ต่างจากทั่วไปทั้งรูปแบบกระทง ความเชื่อ และพิธีกรรม  นิยมจัดกิจกรรมในช่วงเวลาวันขึ้น 13 – 15 ค่ำ เดือน 12 ลอยกระทงบูชาพระอุปคุตในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ในช่วงเช้ามืด แต่ปัจจุบันมีการลอยกระทงตอนกลางคืน หลังเที่ยงวัน ในวันเวลาเดียวกับการลอยกระทงทั่วไป โดยมีคติความเชื่อที่แตกต่างจากการลอยประทงเพื่อบูชาพระแม่คงคาแต่เป็นประเพณีที่จัดขึ้น เพื่อเป็นการบูชาพระอุปคุต 8 องค์ หรือพระอรหันต์ตามความเชื่อของชาวไตโบราณ ซึ่งเชื่อว่า พระอรหันต์ทั้ง 8องค์นี้ มี 4 องค์ที่มรณภาพ ส่วนที่เหลืออีก 4 องค์ยังคงปฏิบัติธรรมอยู่กลางมหานพและทุกวันเพ็ญเดือน 12พระอรหันต์ทั้ง4 จะเวียนขึ้นมาโปรดสัตว์และเผยแพร่พระพุทธศาสนา โดยชาวไตจะถวายอัฐบริวารต่างๆและลอยสิ่งของและเครื่องใช้ต่างๆลงในลำนำเพื่อเป็นการให้ทานและถวายเป็นพุทธบูชาในวันขึ้น 15 คำ เดือน 12

จองพารา


     งานประเพณีจองพารา คือประเพณีส่วนหนึ่งในงานเทศกาลออกพรรษา (งานปอยเหลินสิบเอ็ด) คำว่า จองพาราเป็นภาษาไทยใหญ่แปลว่า ปราสาทพระการบูชาจองพารา คือการสร้างปราสาทเพื่อคอยรับเสด็จพระพุทธเจ้าที่จะเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทศกาลนี้จัดขึ้นระหว่างวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันแรม 8 ค่ำ เดือน 11 โดยก่อนถึงวันงานจะมีการจัดงานตลาดนัดออกพรรษามีการนำสินค้าต่างๆ ที่จะใช้ในการทำบุญ เช่น อาหาร ขนม ดอกไม้ เครื่องไทยทานมาวางขายเพื่อให้ชาวบ้านได้หาซื้อข้าวของเครื่องใช้ในการเตรียมงาน และมีการจัดเตรียมสร้าง จองพาราซึ่งเป็นปราสาทจำลอง ทำด้วยโครงไม้ไผ่ ประดับลวดลายด้วยกระดาษสา กระดาษสีต่างๆ หน่อกล้วย อ้อยและโคมไฟ ตกแต่งอย่างสวยงามเพื่อใช้สมมติเป็นปราสาทรับเสด็จพระพุทธองค์จากสวรรค์ จากนั้นก็จะยก จองพาราขึ้นไว้นอกชายคา นอกรั้ว หรือบริเวณกลางลานทั้งที่บ้านและที่วัด
ในวันขึ้น 15 ค่ำ อันเป็นวันออกพรรษานั้น ตั้งแต่เช้าตรู่ประชาชนพร้อมใจกันไปทำบุญตามวัด บางวัดจัดให้มีการตักบาตรเทโว ส่วนในตอนเย็นจะนำดอกไม้ธูปเทียนและขนมข้าวต้มไปขอขมาบิดามารดาและญาติผู้ใหญ่
ก่อนย่ำรุ่งของวันแรม 1 ค่ำ จะมีพิธี ซอมต่อคือการอุทิศเครื่องเซ่นแก่สิ่งที่ชาวไตถือว่ามีบุญคุณในการดำเนินชีวิต โดยนำกระทงอาหารเล็กๆ ที่จุดเทียนติดไว้ด้วยไปตั้งไว้ตามสถานที่ต่างๆ แสงประทีปนับร้อยนับพันดวงตามวัด สถูป และบ้านเรือนในตอนใกล้รุ่งเป็นภาพที่งดงามน่าประทับใจมาก 

            ตลอดระยะเวลาของการจัดงานตั้งแต่แรม 1 ค่ำไปจนถึงแรม 8 ค่ำ จะมีการถวายข้าวที่จองพาราวันละครั้งและจุดเทียนหรือประทีปโคมไฟไว้ตลอดในช่วงเวลาตลอดเทศกาล จะมีการละเล่นเฉลิมฉลองหลายชนิด เช่น ฟ้อนโต เป็นการแสดงที่นิยมกันอีกชุดหนึ่ง ตัวโตนั้นเชื่อกันว่าเป็นสัตว์ป่าในหิมพานต์ชนิดหนึ่ง มีเขาคล้ายกวางและมีขนยาวคล้ายจามรี มีลักษณะร่ายรำคล้ายการเชิดสิงโตของจีน นอกจากนี้ ยังมีการแสดงอื่นๆ อีกหลายชุด ได้แก่ ฟ้อนดาบหรือที่เรียกว่า ฟ้อนก้าแลว ฟ้อนไตเป็นการฟ้อนต้อนรับผู้มาเยือน รำหม่อง ส่วยยีเป็นการรำออกท่าทางคล้ายพม่า และ มองเซิงเป็นการรำประกอบเสียงกลองมองเซิง เป็นต้น ตามถนนหนทางและบ้านเรือนต่างๆ เป็นการละเล่นที่สืบเนื่องมาจากความเชื่อว่าสัตว์โลกและสัตว์หิมพานต์พากันรื่นเริงยินดีออกมาร่ายรำเป็นพุทธรูปรับเสด็จ
ก่อนจะถึงวันแรม 8 ค่ำ จะมีพิธี หลู่เตนเหงคือ การถวายเทียนพันเล่ม โดยแห่ต้นเทียนไปถวายที่วัด และใน วันกอยจ้อดคือวันแรม 8 ค่ำ อันเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลออกพรรษา จะมีพิธี ถวายไม้เกี๊ยะโดยนำฟืนจากไม้เกี๊ยะ (สนภูเขา) มามัดรวมกันเป็นต้นสูงประมาณไม่ต่ำกว่า 2.5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณไม่ต่ำกว่า 30 เซ็นติเมตร แล้วนำเข้าขบวนแห่ประกอบด้วยฟ้อนรูปสัตว์ต่างๆ และเครื่องประโคมไปทำพิธีจุดถวายเป็นพุทธบูชาที่ลานวัด เป็นอันสิ้นสุดเทศกาลออกพรรษาของชาวไต



วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

ประเพณีปอยส่างลอง


          ประเพณีปอยส่างลอง หรือ งานบวชลูกแก้ว เพื่อทำการบรรพชาเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา โดยจะพบเห็นการจัดปอยส่างลองกันมากที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะในเขตอำเภอเมือง อำเภอขุนยวม และอำเภอปาย คนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมประเพณีนี้ก็สืบเชื้อสายมาจากไทใหญ่ ซึ่งก็ได้ร่วมกันสืบทอดงานประเพณีนี้มาเป็นเวลาช้านาน ดังปรากฏว่าหลักฐานว่าประเพณีนี้มีมาตั้งแต่มีการสร้างแปลนเมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งก็ ได้มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ทุกๆปี เนื่องจากเป็นประเพณีที่สำคัญทางศาสนา และเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด


จนกระทั่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เกิดความขัดแย้งในวงกว้าง ครอบคลุมทุกทวีปและประเทศส่วนใหญ่ในโลกรวมทั้งในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) จนกระทั่งสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ในระหว่างนั้นประเทศไทยได้ประสบปัญหาทางด้านต่างๆ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ทำให้ประเพณีปอยส่างลองถูกงดและเลิกไป จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2525 อันเป็นปีฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี ก็ได้มีการฟื้นฟูและจัดงานประเพณีปอยส่างลองขึ้นทุกๆปีจนถึงปัจจุบัน และประเพณีนี้ก็ได้ขยายไปยังจังหวัดใกล้เคียง คือ จังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย

ประวัติ
ประวัติความเป็นมาของประเพณีปอยส่างลองมีกล่าวกันไว้หลากหลายตำนานแตกต่างกันไปตามพื้นที่ ซึ่งก็ปรากฏตำนานต่างๆกันดังนี้
ตำนานแรก 
เมื่อครั้งพุทธกาลนั้นพระพุทธเจ้าได้ขึ้นไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อจะเสด็จกลับลงมาเมืองมนุษย์ก็มีเทพสี่ตนเป็นเทวดา 2 ตน นางฟ้า 2 ตนลงตามมาด้วย เพราะอยากเห็นบ้านเมืองมนุษย์มากเนื่องจากว่าคิดว่าบ้านเมืองมนุษย์นั้นต้องสนุกสนานมากเพราะจะมีงานต้อนรับพระมารดาของพระพุทธเจ้า ดังนั้นเทพทั้งสี่จึงได้แต่งกายสวยงามสวมชฎามงกุฎ ฟ้อนรำร่วมกันกับมนุษย์ เพราะฉะนั้นถ้ามีงานปอยส่างลองจึงให้ส่างลองแต่งกายอย่างสวยงาม มีการนำชฎามาสวมใส่ให้แก่ผู้บวชอย่างสวยงามตามที่ตำนานได้กล่าวมาดังข้างต้น 
ตำนานที่สอง 
ตำนานนี้นั้นกล่าวไว้ว่า การเป็นส่างลองนั้นเป็นการเลียนแบบประวัติของพระพุทธเจ้าตอนที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะครองกรุงกบิลพัสดุ์ก่อนจะออกผนวช การกระทำทุกอย่างในช่วงเวลาการเป็นส่างลองจะปฏิบัติเสมือนการปฏิบัติต่อพระมหากษัตริย์นั่นเอง
ตำนานที่สาม 
ประวัติความเป็นมาของหนังสือไทยใหญ่ที่เขียนโดยเจ้าหน่อคำ และนายบุญศรี นุชจิโนได้แปลไว้ กล่าวว่า เมื่อครั้งพุทธกาลในกรุงราชคฤห์ มีกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้าพิมพิศาล ได้สร้างพระวิหารถวายพระพุทธเจ้าและปาวารณาตัวเป็ยทายกของพระพุทธเจ้าตลอดชีวิต พระเจ้าพิมพิศาล มีโอรสพระองค์หนึ่ง นามว่าอาชาตศัตรู วันหนึ่งเจ้าชายอาชาตศัตรูได้เสด็จมายังลานพระวิหารที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ได้พบกับพระเทวทัต พระเทวทัตจึงได้อัญเชิญเสด็จขึ้นไปบนกุฏิพร้อมทั้งยกย่องว่าเป็นผู้มีบุคลิกเฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง สมควรเป็นกษัตริย์ปกครองบ้านเมืองโดยเร็ว พร้อมกับยุแหย่ว่าพระเจ้าพิมพิศาลนั้นแก่ชราแล้ว ไม่ควรเป็นกษัตริย์อีกต่อไป เพราะไม่สามารถนำทัพไปสู้รบกับใครได้ อาจสูญเสียแผ่นดินให้กับเมืองอื่น จึงแนะนำให้ฆ่าเสีย เจ้าชายอาชาตศัตรูเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เกิดความขุ่นเคืองไม่พอพระทัย จึงตำหนิว่าใครจะฆ่าบิดาของตัวเองได้ลงคอแล้วรีบกลับไป ฝ่ายพระเจ้าเทวทัตไม่ลดละความพยายาม ได้หาโอกาสมาพบกับเจ้าชายอาชาตศัตรูอีกครั้ง พร้อมทั้งทูลกระซิบว่าให้พระองค์จับ พระบิดาขังไว้ไม่ให้เสวยอาหาร 7 วัน ก็จะสิ้นพระชนม์ไปเอง ซึ่งเราก็จะฆ่าพระพุทธเจ้าโดยงัดก้อนหินขนาดใหญ่ให้กลิ้งลงมาทับ แล้วเราก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้าส่วนพระองค์ก็จะได้เป็นกษัตริย์และเป็นทายกเรา จากนั้นเราทั้งสองจะได้ช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นต่อไป เจ้าชายอาชาตศัตรูเมื่อได้ฟังดังนั้นก็หลงเชื่อและสั่งให้ทหารนำบิดาไปขังไว้และไม่ให้ผู้ใดนำอาหารไปให้เสวย ฝ่ายพระมเหสีด้วยความรักและความสงสาร ในพระสวามี จึงได้ทำขนมใส่เกล้าผม บางครั้งใส่รองเท้า และทาตามตัวเข้าไปเยี่ยมและให้เสวย จนครบ 7 วันพระเจ้าพิมพิศาลยังไม่สิ้นพระชนม์ แต่สามารถนั่งนอนและเดินออกกำลังกายได้ ในที่สุดเจ้าชายอาชาตศัตรู ได้สั่งให้ทหารเฉือนเนื้อฝ่าเท้าของพระบิดาแล้วเอาน้ำเกลือทา ไม่ให้เดินไปมาได้ ในขณะเดียวกันเจ้าชายอาชาตศัตรูได้พาพระโอรสไปเยี่ยมพระมารดา และตรัสว่าลูกชายคนนี้ข้ารักมาก แต่ตัวข้าเมื่อยังเล็ก พระบิดาจะรักเหมือนข้าหรือเปล่าไม่ทราบ พระมารดาจึงตรัสว่าเจ้ารักลูกเจ้ามากนั้นไม่จริง เพราะของเล่นต่างๆที่มีค่ามหาศาลที่ลูกเจ้าเล่นอยู่ขณะนี้ ล้วนเป็นของที่พ่อเจ้าซื้อให้ทั้งสิ้น เจ้าไม่ได้ซื้อหามาให้ลูกเจ้าแม้แต่ชิ้นเดียว เจ้าชายอาชาตศัตรูเมื่อได้ฟังดังนั้นจึงสำนึกผิดและรีบเสด็จไปยังที่คุมขังเพื่อนำพระบิดาออกมารักษาพยาบาล แต่พบว่าพระบิดาได้สิ้นพระชนม์ไปเสียแล้ว จึงรู้สึกเสียใจมากและรีบเสด็จไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับเล่าเรื่องให้ฟังดดยตลอด พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าเพราะคบคนผิดจึงได้ทำบาปมหันต์เช่นนี้ แต่เพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา ให้นำพระโอรสมาถวายเป็นทานในพระพุทธศาสนา โดยให้เขาสมัครใจ เมื่อทราบดังนั้น เจ้าชายอาชาตศัตรูจึงได้นำพระโอรสพร้อมด้วยพระสหายอีก 500 คน ที่มีความสมัครใจ และบิดามารดาอนุญาตแล้วไปถวาย โดยเริ่มแรกให้อาบน้ำขมิ้นส้มป่อย น้ำอบน้ำหอมที่แช่ด้วยเพชร พลอย ทองคำ และเงินไปรับศีล 5 จากพระพุทธเจ้า และแต่งกายด้วยเครื่องนุ่งห่มของส่างลอง นำไปแห่ตามถนนสายต่างๆในกรุงราชคฤห์ เมื่อครบ 7 วัน จึงนำส่างลองไปบรรพชาเป็นสามเณรต่อหน้าพระพุทธเจ้าและเหล่าพระสงฆ์สาวกทั้งหลาย พระพุทธเจ้าจึงให้นามพระโอรสองค์นี้ว่า จิตตะมเถรี จึงเป็นที่มาของปอยส่างลองที่คนไทยใหญ่ไดยึดถือสืบทอดกันมา

 ขั้นตอนการจัดงานปอยส่างลอง
ปอยส่างลองหรืองานบวชลูกแก้วนั้นเป็นพิธีการเฉลิมฉลองของการบรรพชาสามเณรในศาสนาพุทธซึ่งปกติจะมีการจัดงานอยู่ประมาณสามวัน แต่หากผู้ที่ทำการบวชนั้นมีฐานะดีก็จะมีการฉลองยาวนานเป็น 5 หรือ 7วันได้ ซึ่งงานดังกล่าวนี้จะนิยมจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม หรือเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงหน้าแล้งที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ว่างเว้นจากการทำนาทำไร่ และเป็นช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนของเด็กๆด้วย โดยประเพณีปอยส่างลองนี้เป็นประเพณีของคนไทยซึ่งมีเชื้อสายเป็นชาวไทใหญ่ ดังนั้นเราจึงจะพบเห็นประเพณีนี้กันมากในจังหวัดแม่ฮ่องสอน และในบางส่วนของภาคเหนือ รวมทั้งจังหวัดเชียงใหม่ด้วย
ในการบรรพชาเป็นสามเณรนั้นก็เพื่อศึกษาพุทธธรรมและเพื่อเป็นการทดแทนคุณบิดามารดา เหมือนอย่างที่พระราหุลซึ่งเป็นพระโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ(พระพุทธเจ้า)กับพระนางยโสธรา(พิมพา)บวชเป็นสามเณรองค์แรกในพุทธศาสนา ก็เพื่อดำเนินรอยตามคำสั่งสอนของพระบิดา พระราหุลท่านเป็นผู้ใคร่ในการศึกษาธรรมวินัย จึงได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย
ก่อนที่จะถึงวันประเพณีปอยส่างลองหนึ่งวัน เด็กชายผู้ชายทุกคนที่เข้าร่วมประเพณีนี้จะต้องปลงผมและอาบน้ำให้สะอาดที่สุด และเจิมด้วยน้ำหอมเพื่อให้มีกลิ่นหอม แต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าเครื่องประดับต่างๆอย่างอลังการ แต่ส่วนใหญ่จะไม่ใส่เครื่องประดับที่เป็นของจริงโดยมากจะเป็นเพชร พลอย และทองที่ทำขึ้นมาเหมือนจริงเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพราะกลัวของมีค่าสูญหายระหว่างการแห่ส่างลอง แต่ก็มีบางคนที่มีฐานะให้ลูกหลานใส่ของจริงก็มี นอกจากนั้นก็ยังมีการแต่งหน้าแต่งตาด้วยสีสันที่จัดจ้านให้ส่างลอง(ลูกแก้ว) ดูสวยงามมีสง่าราศีเหนือคนทั่วไป
วันแรกของปอยส่างลอง หรือชาวบ้านจะเรียกกันว่า "วันเอาส่างลอง" จะเริ่มด้วยขบวนแห่ลูกแก้วซึ่งลูกแก้วก็จะมีการแต่งกายอย่างสวยงามเปรียบเหมือนกับเทวดาตัวน้อยๆ แห่ไปรอบๆเมืองตามถนนหนทางต่างๆ ซึ่งในขบวนแห่ก็จะประกอบไปด้วยเสียงดนตรีอันแสดงถึงความสนุกสนานรื่นเริงจากเครื่องดนตรีของไทใหญ่ ได้แก่ มองเซิง (ฆ้องชุด) ฉาบ และกลองมองเซิง (กลองสองหน้า)
ในอดีตนั้นการแห่ลูกแก้วไปรอบๆเมืองจะให้ลูกแก้วขี่ม้าแต่ปัจจุบันก็เปลี่ยนไปเพราะม้านั้นไม่ได้หากันง่ายๆเหมือนดังเช่นสมัยก่อน ในสมัยปัจจุบันก็จึงแห่ลูกแก้วโดยการให้นั่งเก้าอี้แล้วนำไปใส่หลังรถยนต์แห่ไปรอบเมืองแทน ในขบวนแห่ลูกแก้ว ลูกแก้วแต่ละคนก็จะมีผู้ติดตามซึ่งก็อาจเป็นพ่อ หรือญาติพี่น้องที่เป็นผู้ชาย เพราะลูกแก้วนั่นเขาเปรียบเสมือนเป็นเทวดา ต้องใส่ถุงเท้าสีขาวตลอดทั้ง 3วันที่จัดงาน และห้ามไม่ให้ลูกแก้วได้เหยียบพื้น ดังนั้นเวลาจะไปที่ใดก็ต้องมีคนคอยแบก(ม้าขี่) หรือนำขี่คอไปยังที่ต่างๆ และก็ต้องมีอีกคนหนึ่งทำหน้าที่กางร่มที่มียอดสูงประดับทองกันแดดให้ไม่ให้ลูกแก้วต้องโดนแดดเผา นอกจากนี้ยังมีคนที่ต้องดูแลเพชรพลอยของมีค่าต่าง ๆ ที่ลูกแก้วสวมใส่อยู่ตลอดเวลาเพื่อป้องกันการตกหล่นหรือโดนลักขโมย
จากนั้นเมื่อขบวนแห่รอบเมืองเสร็จสิ้น ก็จะเป็นขบวนแห่ลูกแก้วเหล่านั้นไปเยี่ยมญาติ ๆที่บ้าน หรือบางทีอาจเป็นผู้สูงอายุ ผู้อาวุโส และบุคคลสำคัญๆในชุมชน เพื่อไปทำแสดงความเคารพนับถือ และรับศีลรับพร จากนั้นญาติ ๆ และผู้สูงอายุก็จะใช้ด้ายสีขาวผูกข้อมือให้ลูกแก้วทุกคนเพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายต่าง ๆ และบางทีก็จะให้ของกำนัลแก่ลูกแก้วบางคนอาจให้เป็นเงิน บางคนให้ขนม เป็นต้น
วันที่สอง หรือ "วันรับแขก" ก็จะมีขบวนแห่คล้ายๆกันกับวันแรกแต่ในวันที่สองนี้ในขบวนแห่จะประกอบด้วยเครื่องสักการะ ธูปเทียนต่างๆ เพื่อถวายพระพุทธ และเครื่องจตุปัจจัยถวายพระสงฆ์ ในช่วงเย็น หลังจากที่ลูกแก้วรับประทานอาหารแล้วเสร็จ ก็จะมีพิธีทำขวัญและการสวดคำขวัญ เพื่อเตรียมตัวให้ลูกแก้วซึ่งจะเข้ารับการบรรพชาในวันรุ่งขึ้น โดยผู้นำที่ประกอบพิธีก็จะเป็นผู้อาวุโสที่ศรัทธาวัดทุกคนให้ความเคารพนับถือ
วันสุดท้าย คือ "วันบวช" พิธีของวันนี้จะเริ่มด้วยการนำลูกแก้วไปยังวัด พอถึงวัด ลูกแก้วทั้งหมดก็จะกล่าวขออนุญาตเพื่อทำการบรรพชาจากพระผู้ใหญ่ เมื่อท่านได้อนุญาต ลูกแก้วก็จะพร้อมกันกล่าวคำปฏิญาณตน และอาราธนาศีล แล้วจึงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากชุดเสื้อผ้าส่างลองที่สวยงามมาเป็นผ้ากาสาวพัตร์สีเหลือง และเป็นก็สามเณรอย่างสมบูรณ์ โดยอาจจะอยู่หลายเดือนเพราะว่าเป็นช่วงปิดเทอมหรืออยู่ 2-3 อาทิตย์ก็ได้