ปอยเหลินสิบเอ็ด เดือนสิบเอ็ดตรงกับเดือนตุลาคมของทุกปี ภาษาปุ่งนา (ปุโรหิต) เรียกว่า “ตู่หย่าสี่” ภาษาพม่าเรียกว่า “สะตางกยอด” เป็นเดือนที่พุทธบริษัทชาวไตพากันถวายจองเข่งต่างส่างปุ๊ด (จองพรา = ซุ้มรับเสด็จ) จุดธูปเทียนถวายภัตตาหาร ขนม นมเนย ผลไม้ในฤดูกาล มีเรื่องราวกล่าวถึงบ่อเกิดประเพณีไว้ว่าพระโคดมสมณเจ้าได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณมาเป็นเวลา ๗ พรรษา ทรงแสดงยมกปาฏิหารย์ ในเมืองสาวัตถีที่อุทยานสวนมะม่วง เสด็จขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ประทับนั่งเหนือปัณทุกัมพลศิลาอาสน์ ทรงเทศนาอภิธรรม ๗ คัมภีร์ โปรดสันตุฏฐีพุทธมารดา พร้อมทั้งเหล่าเทพยดาและพระพรหมตลอดระยะเวลาในพรรษา ๓ เดือน และเสด็จนิวัติมนุษยโลกในวันเพ็ญเดือน ๑๑ ณ เมืองสั่งกะนะโก่ (สังกัสนคร) ในการเสด็จลงมานั้น พระอินทร์ได้เนรมิตบันไดเงิน บันไดทอง และบันไดแก้ว พาดตรงประตูสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้านทิศใต้ลงสู่ประตูเมืองสังกัสนครด้านทิศใต้เช่นเดียวกัน ก่อนจะถึงวันเพ็ญเดือน ๑๑ พระพุทธองค์ทรงมีกระแสรับสั่งถึงพระมหาโมคคัลลานว่าพระองค์จะเสด็จนิวัติมนุษยโลกในวันเพ็ญเดือน ๑๑ พระมหาโมคคัลลานได้บอกข่าวการเสด็จนิวัติขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปจนทั่วทุกหนทุกแห่ง บรรดามนุษย์และสัตว์ที่สามารถมาได้ก็มารับเสด็จที่สังกัสนคร ที่มาไม่ได้ก็จัดทำจองเข่งต่างส่างปุ๊ด(ซุ้มประสาทรับเสด็จ) ที่บ้านเรือนของตน พอถึงเช้าวันเพ็ญเดือน ๑๑ จะจัดอาหารบิณฑบาตและขนมนมเนยไว้ถวายพระพุทธเจ้าที่เสด็จมาประทับยืนอยู่ที่หัวบันไดแก้ว แล้วเปล่งรัศมี ๖ ประการ มาแสดงความชื่นชมบุญบารมีและเดชานุภาพ แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่สนุกสนานกันทั่วไปทุกถิ่นแคว้น ขณะที่พระพุทธองค์ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีนั้น รัศมีแสงแห่งฉัพพรรณรังสีกระจายสาดส่องไปถึงจองเข่งต่างส่างปุ๊ด(ซุ้มประสาทรับเสด็จ) ของทุกบ้านเรือน บรรดาพุทธบริษัทที่อยู่ในบ้านเรือนรู้สึกชื่นชมโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง จึงพร้อมกันถวายภัตตาหารและจุดธูปเทียนบูชาเป็นเวลา ๗ วัน
ด้วยเหตุที่มีบ่อเกิดประเพณีตามแนวพุทธประวัติตั้งแต่สมัยพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ดังกล่าวนี้ พอถึงวันเพ็ญเดือน ๑๑ ครั้งใด ชาวไตจึงพากันทำจองเข่งต่างส่างปุ๊ด (ซุ้มประสาท) หรือจองพรารับเสด็จพระพุทธองค์ทุกบ้านเรือนเป็นประเพณีสืบต่อกันมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ และได้จัดเป็นประเพณี “ปอยเหลินสิบเอ็ด” หรือประเพณีออกพรรษา ซึ่งประเพณีนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก สำหรับชาวจังหวัดแม่ฮ่องสอน
กิจกรรมในงาน
จะมีงานตลาดนัดขายของกันทั้งวันทั้งคืน ประชาชนจะไปจับจ่ายซื้ออาหารและสิ่งของต่าง ๆ สำหรับไปทำบุญ ที่วัดใน วันขึ้น ๑๕ ค่ำ พอถึงรุ่งเช้าของวันขึ้น ๑๕ ค่ำ จะมีการทำบุญตักบาตรเทโวโรหนะ จากวัดพระธาตุดอยกองมูซึ่งตั้งอยู่บนดอยกองมู ลงมาสู่วัดม่วยต่อที่อยู่บริเวณเชิงเขา ทิวแถวของพระภิกษุสามเณรและประชาชนนับร้อยพัน ซึ่งเรียงรายสองข้างทางเดินลงจากวัดพระธาตุดอยกองมู เพื่อทำบุญตักบาตรแก่พระภิกษุสามเณร ท่ามกลางสายหมอกยามเช้านั้น เป็นภาพที่งดงามบริสุทธิ์ตัดกับสีเขียวขจีของต้นไม้ สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล ตกตอนกลางคืนตามบ้านเรือนและวัดวาอารามต่าง ๆ จะมีการจุดประทีปโคมไฟสว่างไสว และมีการแห่ “จองพรา” คำว่า พรา มาจากคำว่า พระ หรือวระ แปลว่าประเสริฐ หมายถึงพระพุทธเจ้า ส่วนคำว่า พารา หมายถึง เมือง เช่นกรุงพาราณสี เป็นต้น ฉะนั้น คำที่ถูกต้อง คือจองพารา (ข้อมูลจาก อ.ประเวช คำสวัสดิ์ แปลจากลีกโหลง สัมภาษณ์โดย นายธนทัย คำกลาง สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน) หรือ ซุ้มประสาทรับเสด็จพระพุทธเจ้า ซึ่งตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม นอกจากนี้ในปอยเหลินสิบเอ็ดยังมีการแสดงการละเล่นพื้นเมืองและมหรสพต่าง ๆ เป็นการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านของจังหวัดแม่ฮ่องสอนเกือบจะทุกแขนง และจะมีการประกวดแข่งขันกันและมีรางวัลมอบให้ด้วย
วันที่จัดงาน
ช่วงเวลาออกพรรษา หรือเดือน ๑๑
สถานที่จัดงาน
เขตเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน และ ตามหมู่บ้านใหญ่ ที่เป็นชาวพุทธ
วัฒนธรรมประเพณีจังหวัดแม่ฮ่องสอน
อำเภอปาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น